วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถ้าประทศไทยมั่งคั่ง ผุู้นั่งต้องสร้างแบรนด์ไทยเขย่าโลก


ช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชา วันสำคํญขององค์การสหประชาชาติ หรือ UNของชาวพุทธศาสนาโลก ที่ระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เป็นที่มหัศจรรย์      ปาฎิหาริย์เหลือเชื่อมากของชาวโลกมาก คือวันมหัศจรรย์ 3ครั้ง3วาระ มาตรงกันในวันเดียวกัน คือ
 1ที่พระพุทธเจ้าประสูติ(วันเกิด)
2วันตรัสรู้(รู้ธรรมะความจริงจากธรรมชาติด้วยพระองค์เอง)
และ3วันปรินิพพาน(วันตายของท่าน) 
 
  พระพุทธเจ้า สร้างฤทธิ์อภินิหารสูงกว่าชาวโลก สร้าง การ งง งวย ให้ มนุดมนา ให้ชาวโลก รู้เห็นและที่อาจยังไม่รู้ทันความจริง และบันทึกไว้ สืบต่อๆกันมา กระทั่งปัจจุบัน มีอีกแล้วเรื่อยๆ ในบวรพุทธศาสนา ล่าสุด ที่โพสต์ของเพื่อนเฟสบุ๊ค พุทธปาฎิหาริย์หลวงพ่อคูณ มีเมฆรูปหลวงพ่อคูณนั่งสมาธิ และพระอาทิตย์ทรงกลด อย่างมหัศจรรย์  ที่เผยแพร่ทั่วไปในฟสบุ๊ค

  วันนี้ผมอยากเขียนเรื่อง ถ้าประเทศไทยจะมั่งคั่ง ผู้นั่งต้องสร้างแบรนด์เขย่าโลก ต่อ  ก็เท่าที่ทราบกันโดยทั่วไป ยุคสมัยนี้คือ โลกาภิวัตน์ การค้าการขายเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกันไปทั่วโลก  คือยุคนี้สงครามเศรษฐกิจก็เรียกได้  ผมจะหลีกใช้คำรุนแรง เช่น สงครามโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้สำนึกศีลธรรมศาสนา เพราะดูจะรุนแรง ฆ่าฟันกัน ตาย ที่สนามรบ เพราะยุคสมัยนี้ ไม่มีสงครามแล้ว  มีแต่สงครามเศรษฐกิจ  ที่ต้องสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศของตน

ประเทศไทยจะมั่งคั่ง นั้น ต้องสร้างแบรนด์ ที่มีคุณภาพ ได้การยอมรับจากนานาชาติ เมื่อส่งสินค้าไปขายทั่วโลก นำรายได้สู่ประเทศมากขึ้น อย่างเช่น สินค้ามือถือ ยี่ห้อ ไอ โมบาย  สินค้าแบรนด์ชาวไทย ขายดิบขายดี ในหมู่ชาวไทย ซื้อสินค้าไทย ทำให้เงินไทย ไม่รั่วไหลไปต่างประเทศมากนัก  กระทั่งสนับสนุน ทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ของท่านเนวิน ชิดชอบ สร้างสนามฟุตบอลอย่างอลังการ ที่ต่างจังหวัดได้จังหวัดแรกที่ภูมิภาค และสร้างสนามแข่งรถทางเรียบในไทยได้จังหวัดแรกเช่นกัน

เมื่อเขียนถึงเรื่องฟุตบอลแล้ว บางทีผมก็คิดละเม้อเพ้อฝัน ให้ประเทศไทย จะมีโอกาสจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่ประเทศไทยได้หรือไม่

เพราะเรื่องนี้จะพูดว่ายากก็ยาก จะพูดว่าง่ายก็ง่าย ถ้าชาวไทยสามัคคีกัน ไม่ขัดกันจนเกินไป เพื่อมุ่งสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ  ก็อาจจะฝันเป็นความจริง เพราะผมทราบข้อมูล ประเทศสหรัฐเอมริกา มีอำนาจ ในองค์การฟีฟ่า คือ ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ค่อนข้างมาก ส่วนกรรมการฟีฟ่า ที่เป็นชาวไทย นายวรดี มะกูดี ที่กำลังมีข่าวถูกปลดออกจากกรรมการด้วยข้อหาทำผิดอะไรหรือ ผมก็หวั่นๆอยู่ จะผลักดันไทย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะรู้สึกว่าไทยห่างไกลมาก แทบปิดประตูตาย ความฝันที่เป็นจริง นั้นไม่มีเลย  เพราะประเทศที่ฟีฟ่า กำหนดคิวให้เป็นนั้นจองคิดกันยาวเหยียด ตั้งแต่ปีถัดไป คือ คิวของประเทศรัศเซีย และหลังจากนั้น เป็นประเทศกาตาร์ แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็อยากจัดอีก

 

ทีนี้เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ชาวไทยบางคนว่าสหรัฐอเมริกา พูดดีใส่ตัว พูดชั่วให้ผู้อื่น ไม่เคยมอบผลประโยชน์ให้แก่ประเทศใดๆมีแต่กอบโกยผลประโยชน์เข้าประเทศตนเอง   นอกจากผลประโยชน์ของประเทศตนเอง  ผมยืนยันว่า สหรัฐอเมริกา ที่คือมิตรประเทศไทยมาช้านาน นั้นกำลังมีความคิดเลือกประธานฟีฟ่า ท่านใหม่ เป็นชาวเอเชีย ซึ่งเป็นแขกอาบัง ชาวอาหรับ เป็นคู่ออดิเนต กับท่านประธานฟีฟ่าคนเก่า ซึ่งดำรงตำแหน่งติดต่อกันมาแล้วหลายสมัย คือ นายเซ็บ บัตตเตอร์

 

 ถ้าอำนาจสหรัฐอเมริกา เลือกประธานฟีฟ่า ท่านใหม่ เป็นชาวเอเชีย อนาคตต่อๆไป ชาวไทยก็อาจจะมีสิทธิ์เป็นประธานฟีฟ่าได้เช่นกัน  อีกทั้งผมเป็นเพื่อนกับท่านประธานาธิบดี โอบามา ทางเฟสบุ๊ค ผมบางทีจะลองผลักดันให้ท่านช่วยประเทศไทย ในเรื่องนี้ เพราะถ้าอนาคตเกิดขึ้นได้ หมายถึง ความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ ไทย เติบโตอย่างพุ่งพรวด ทะลุเพดาน กราฟ เลยทีเดียว
   ซึ่งคงจะอาจจะอีก10-20ปีข้างหน้า แต่สงสัยผู้ผลักดันความคิดเรื่องนี้คงจะอาจจะไม่มีชีวิต เพราะบางทีผมอาจจะตายจากโลกไปก่อน เพราะอาจะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม หรือมองเห็นคือศัตรู ขัดแย้วผลประโยชน์ของผู้อื่น
 
    กระทั่ง มีข่าวแว่วๆซึ่งไม่รู้จะจริงเท็จแค่ไหน คือหูได้ยินแว่วๆๆกำลังลงเงินลงขัน เก็บผู้เขียน ลับๆ ผมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและตำรวจดีๆหรือเพื่อนที่รักผมส่งกำลังมาคุ้มกันผม รักษาความปลอดภัยให้ผมที่บ้านด้วยหรือส่งเมียผม มาทำหน้าที่บอการ์ดทีละเยอะๆครบทีมฟุตบอลหญิงก็ดี ให้ผม    ผมไม่กล้าออกจากบ้านเกือบ20ปี เพราะเหตุนี้ ออกจากบ้านก้อถูกโซ้ย โอ้ยๆๆๆ ทุกที  เพราะอาจจะมีเพื่อนๆที่ไม่ดี คิดไม่ดีกับผม กล่าวหาว่าไปว่าเพื่อนๆเรื่อย ที่ว่า ก็อยากให้เพื่อนเป็นคนดีนั้นเอง ไม่น่าทำผมได้ลงคอ  อย่างเช่น บทเพลง ดู.. ดู้.. ดู.. ดูเธอทำ   ทำไมถึงทำกับฉัน ด้าย..ยย..ยย

แต่อย่างไรก็ตาม ชาวไทยนักธุรกิจ ไทย มุ่ง สร้างความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตขึ้น บางทีไม่ต้องรอ รัฐบาล  ธุรกิจเอกชนดำเนินเศรษฐกิจได้เลย  เมื่อภาคธุรกิจเอกชน มั่งคั่ง เขาก็ไปสร้าง สนามฟุตบอลต่างๆที่ต่างจังหวัด อย่าง สนามไอโมบาย นั่นแหละ 
 
   สร้างสนามอลังการ ประจำแต่ละภาค เช่น ภาคใต้ จุดหนึ่ง ภาคกลางจุดหนึ่ง  ภาคเหนือจุดหนึ่ง สร้างแล้วใช้ประโยชน์กับสนามให้เต็มที่ คุ้มกับการลงทุนที่ไม่เสียเปล่า  เพราะผลประโยชน์ได้เงินฟรีๆนั้นแสนยาก ผมสนับสนุนอย่างมาก ถ้าจะให้ผมรำรวยขึ้นมา ก็ช่วยเพาะผมเรื่อยๆ ใครมีเงินก็ช่วยบริจาคให้ผม เพาะเรื่อยๆ เพาะว่าเรื่อยๆ เงินก็จะมากขึ้น พอนำไปลงทุนสร้างสนามฟุตบอลให้ สร้างโรงพยาบาลให้เมื่อยามเจ็บป่วย หรือ สร้างโรงงาน สร้างโรงเรียนให้ฟรี เพราะผมได้ฟรี ก็สร้างให้ฟรี

เอาหละ ก่อนที่จะจบ บทความนี้ เข้าสู่เทสกาล วันวิสาขบูชา วันระลึกถึงคุณงามความดี ความเสียสละ ลำบากลำบน เพื่อ มนุษยชาวโลก ชาวพุทธทั้งหลายพากันไปวัด หาความสงบ ฝึกหัด ดูจิต ดูใจ อารมณ์ของตนเอง ในพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า  ผมก็จะหยุดเขียน พักการเขียนบทความสักพักหนึ่ง ในช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชา เพื่อเร่งมุ่งสร้างสมบุญบารมีส่วนตัว ไม่ประมาทในชีวิต ที่พญามัจจุราช คือ ความตาย อาจจะมาเยี่ยมผม ไม่วันใด     วันหนึ่งz นี้ แล้วกลับมาพบกันใหม่ ในโอกาส ต่อไป ครับ  พุทธธรรม  สวัสดี……..\

ถ้าประเทศไทยจะมั่งคั่ง ผู้นั่งต้องสร้างแบรนด์เขย่าโลก


วันนี้ไม่รู้เกิดเอ็กซิเด็นท์  อะไร กับโน๊ตบุ๊คTOSHIBA    อยู่ๆปุ่มอักษรคีย์บอร์ดบางตัว เสีย  ผมจึงนำคีย์บอร์ดพ่วงสำรอง มาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  เพื่อออนไลน์บทความประจำวัน ขึ้นสู่โลกอินเตอร์เน็ต ทันวันนี้ตอนเย็น.....\\\

 

 ตอนเช้าผมก็ติดตามข่าวทางหน้าจอทีวีเกือบป็นประจำทุกวัน ในฐานะเป็นประชาชน ในสังคมประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เจ้าของประเทศ มีเสียงเสรีภาพในการพูดเขียนและทำ และการสื่อสารแสดงออก ถึงรัฐบาล ถึงความต้องการประเทศมีทิศทางเดินไปทางไหน   เพื่อเป็นข้อมูล แนวทางแก้ปัญหา กับผู้รับผิดชอบ ชาติบ้านเมืองทุกๆคน

 ตามวิสัยทัศน์ชาติ มั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ในเศรษฐกิจพอเพียง

  เมื่อพูดถึง ความมั่งคั่ง ถ้ามองดูประเทศไทยของเรา ก็นับว่า มั่งคั่งระดับระดับหนึ่ง มั่งคั่ง ที่ว่านั้นคือ  นับแต่ไหนแต่ไร  ประเทศไทย คือ ภูมิศาสตร์ อู่ข้าว อู่น้ำ  มีข้าวปลา อาหารสมบรูณ์ แต่ความมั่งคั่ง ทางการเงิน ที่เป็นระดับประเทสที่ร่ำรวยแล้วนั้น ยังไม่มั่งคั่งเท่าที่ควร เพราะความร่ำรวยยัง รวยกระจุก  จนกระจายอยู่ 
 
    คนไทยส่วนมากยังเป็นคนยากคนจน  มีกลุ่มเศรษฐีชาวไทย เพียงไม่กี่กลุ่ม เช่น กลุ่มบริษัทCPเจ้าสัวธนินทร์กลุ่มบริษัทชินวัตร ของอดีตนายกฯพตท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร กลุ่มBEC ไทยทีวีสีช่อง3หรือกลุ่มตระกูลมาลีนนท์ กลุ่มคีรี กาญจนพาสน์  แห่งรถไฟBTS กลุ่มเจ้าพ่อน้ำเมา เจ้าสัวเจริญ กลุ่มบริษัท เครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดงและกลุ่มบริษัทเล็กบริษัทน้อย ในตลาดหุ้น หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   ที่ส่วนมากอิงกับภาคธุรกิจการเมือง ที่มักคุมอำนาจ ชะตาชีวิตเศรษฐกิจประเทศไทย     แต่อาจจะมีกลุ่มธุรกิจการเมือง กลุ่มใหม่ๆเข้ามาอีกหรือไม่นั้น  ผมยังไม่รู้ข้อมูล  แต่มีแนวโน้ม นักธุรกิจการเมืองหน้าใหม่ๆมีความสนใจเล่นธุรกิจการเมือง แต่รัฐธรรมนูญยังไม่ได้ห้าม เมื่อเล่นธุรกิจการเมือง ก็มักสร้างความร่ำรวยของธรกิจตนเองมากขึ้น จึงทำให้ช่องว่างระหว่าง ผู้ที่ไม่ได้เล่นธุรกิจการเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่เหมือนเดิม เพราะอำนาจเงิน อำนาจกฎหมาย และ การเมือง ที่ตนมีอำนาจอยู่ แต่อาจจะไม่ถูกต้องชอบธรรม  ทางที่ดี คือ ทางลาดยาง เมืองอุบลฯ การเมือง ควรจะเป็นการเมืองล้วน ไม่มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างผมผู้เขียน ไม่เคยมีกิจการอาชีพธุรกิจส่วนตัวเลย

    เพราะธุรกิจการเมืองนั้น เน้นมุ่งหาเงินกำไร ให้ร่ำรวยมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง ก็คือ ไปเบียดเบียน ผลประโยชน์ ทรัพยากร ของคนยากคนจน ที่ควรจะได้ นั้น ได้มากขึ้น คนรวยก็เลยรวยมากขึ้น คนจนก็จนลงเหมือนเดิม บางครั้งออกแนวเศรษฐกิจมวยตู้  คือ แข่งขันต่อสู้กัน เอาเป็นเอาตาย เลือดตกยางออก ออกลายเสือ มีหล่มีเหลี่ยม กลยุทธ์เพื่อชนะคู่แข่งขัน ทั้ง ลักวิ่งชิงปล้น จึงมักได้ยินข่าว นักธุรกิจฆ่ากันตาย เพราะ แย่งชิงผลประโยชน์กัน

  แต่ก็นับว่า เป็นนิมิตหมายอันดี ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ประกาศต่อสาธารณะ เจ้าของประเทศทุกคน ว่า การเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดนี้  ไม่มีผลประโยชน์ ผมจึงปรบมือให้ด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง  เพราะไม่มีรัฐบาลไหนทำมาก่อน เพราะอดีตรัฐบาลทุกรัฐบาล  เข้ามาเพื่อมาเอา มาแสวงหาผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่า กินตามน้ำ กินทวนน้ำ คอรับชั่นทุกโครงการ ประเทศไทยจึง แทบล่มจมหายนะเท่าทุกวันนี้

ประเทศไทยยังพอมีบุญ ที่ได้รัฐบาลทหาร เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว และเศรษฐกิจกำลังไปได้สวย ในปีถัดๆไป

    ตามวิสัยทัศน์ชาติ มั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน นั้น ถ้าผมมาพิจจารณาตามวิสัยทัศน์นี้แล้ว ชาติต้องการความมั่งคั่งมาก่อน ใช่มั้ย เพราะถ้าพูดถึงความมั่งคั่ง นั้น มักจะคือความร่ำรวย เงินและทรัพย์สิน มั่งคั่งทางวัตถุที่มีเหลือใช้ก็ได้ เช่น มีรถยนต์หลายคัน มีเมียหลายคนอย่างเฮียกอเฮียกวงที มีบ้านหลังใหญ่โตโอ่โถง มีข้าทาสบริวารรับใช้ เข้าขั้นคือเศรษฐี ระดับต้นๆ
 
   แต่ถ้าชะเง้อมองดูชาวไทยรวยระดับเศรษฐี แบบนี้มีน้อยมาก แบบรวยกระจุก  จนกระจายอย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ คือมั่งคั่งแบบนี้ใช่มั้ย แต่ความหมายของความมั่งคั่ง  อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะถ้าสร้างความมั่งคั่ง กระจายให้ทั่วไทยนั้น
 
   มันต้องเริ่มสร้าง ความมั่งคั่งทางการเงินขึ้นมาก่อน ก็คือต้องสร้างนักธุรกิจขึ้นมา  แต่ไม่ใช่นักธุรกิจการเมืองนะ คนละอย่างกัน นักการเมืองก็คือนักการเมือง นักธุรกิจก็คือนักธุรกิจ ไม่ปนกัน  นักธุรกิจที่มีคุณธรรมในอาชีพ รับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อม  เพราะนักธุรกิจ นั้น มุ่งหาแต่เงิน  อะไรๆก็เงิน ไม่เคยให้ฟรีแก่ใคร ไม่ยอมเสียเงินให้ใครฟรีง่ายๆ
 
    คือนักธุรกิจคุณธรรม ต้องกล้าให้ฟรีแก่ผู้อื่น ตระหนักรับผิดชอบสังคม เหมือนนักธุรกิจ สมัยใหม่ คือ usr หรือnsr อะไรนี่แหละ ผมก็จำไม่ได้ คือ มี นักธุรกิจ มี อา อา อ้า นี่แหละ  คือ นักธุรกิจคุณธรรม รับผิดชอบสังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่เห็นแก่เงิน หรือ ไม่เห็นแก่ตัวเกินไป ทำให้สังคมประเทศไทยส่วนมากเสียหาย    ซึ่งก็คือ รัฐบาลไปสนับสนุน นักธุรกิจ SMEนั้นถูกแล้ว ส่งเสริมและผลักดันให้มากขึ้นเรื่อยๆ
 
     เมื่อแหล่งทุนธนาคารก็ต้องกล้าปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมโรงงานอาหารเจและมังสวิรัติ และอาหารแปรรูปทั่วไป เพราะประเทศไทยจะเน้นเรื่องผลิตอาหาร  อุตสาหกรรมSMEอื่นๆก็ลดหลั่น ไปตามลำดับ ความเหมาะสม ต่อการลงทุน จะไม่เกิดหนี้เสีย หรือNPLตามมา เพื่อให้เศรษฐกิจเกิดความมั่งคั่งภายในแล้ว สามารถเลี้ยงดูเรื่องปากเรื่องท้อง ของพลเมืองประชาชนในประเทศ อยู่ดีมีสุข ได้ทั่วถึง 
 
     คนที่รวยอยู่แล้วก็ต้องเสียสละความรวยให้แก่คนยากจน ไม่ให้เหลื่อมล้ำมากเกินไป เมื่อความมั่งคั่งยังขาดแคนอยู่ก็เพิ่มความมั่งคั่งไปดูดเงิน จากประเทศฝรั่ง มากๆขึ้น เช่นสร้างนักธุรกิจดูดเงินจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศกลุ่มยูโร เฉพาะกลุ่มประเทศหลังนี้ รวยมาก เขาว่า รวยกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก ประเทศจีนซึ่งรวยกว่าประเทศไทย บริเวณแถบเอเชียด้วยกัน ไปดูดเงินหยวนมา ซึ่งนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ นั้น เขาใช้หลักการตลาด เข้าช่วย มีหลักการสร้างแบรนด์ พยายามลดการขาดดุลทางการค้า  หลักการตลาด การค้าการขาย ลองไปสืบเสาะ นักธุรกิจไทยเก่งๆและมีคุณธรรม นำมาเป็นทีมเศรษฐกิจประเทศไทย 

 

ประเทศไทย เด่นเรื่องวัฒนธรรมการท่องเที่ยว หาเงินเข้าประเทศได้มากที่สุด ซึ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมไทยมาก เพราะคนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยนั้น มาเพื่อหารอยยิ้มพิมพ์ใจ ของชาวไทย เฉพาะผู้หญิงไทย รอยยิ้มไทย นี่แหละ สร้างแบรนด์สินค้าได้ดีที่สุด รอยยิ้มดี จริงใจ อัธยาศัยดี เอาใจเก่ง ของหญิงไท ย  ฝรั่งต่างชาติตกหลุมรัก หญิงไทย ร่วมหอลงโรง เป็นเขยไทยก็หลายราย เมื่องไทยแทบจะกลายเป็นเมืองฝรั่งไปแล้ว

 

เรื่องการสร้างแบรนด์ไทย นี้สำคัญมากครับ ท่าน นายกฯ และเพื่อนๆชาวไทยของผม ช่วยสร้างแบรนด์แบบธรรมชาตินี้ ซึ่งต่างจากแบรนด์ หรือ บางทีคือสัญลักษณ์สินค้า สื่อถึง คุณภาพขององค์กรนั้น เช่น

แบรนด์ ยี่ห้อ มือถือ แอปเปิ้ล จากสหรัฐอเมริเกา  แพงเท่าไหร่ ทั่วโลกก็ซื้อเพราะมีแบรนด์ดี คุณภาพดี ถ้าเป็นสินค้ามือถือ ชาวไทย ก็คือยี่ห้อไอโมบาย  แต่ไม่ค่อยนิยมทั่วโลก
เมื่อสร้างนักธุรกิจไทย ก็สร้างแบรนด์ของคนไทย ผู้ซื้อทั่วโลกเชื่อถือ ยอมรับในสินค้านั้น ก็ซื้อแต่สินค้าไทย ก็นำรายได้เข้าประเทศมากขึ้น สร้างแบรนด์หลายๆสินค้า ก็นำรายได้ความมั่งคั่งสู่ประเทศไทยมากขึ้น

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อุบลราชธานีเมืองหลวงอาเซียน


ผม หลังจากได้ปล่อยบทความ บนบล็อกไปหลายเรื่อง มีประเด็นหนึ่ง คือ
เรื่องกระจายอำนาจเศรษฐกิจ จากศูนย์กลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงของ       ประเทศไทย สู่เศรษฐกิจต่างจังหวัด หรือ กลุ่มจังหวัด

 
เพราะเศรษฐกิจกรุงเทพ เติบโต เป็นอย่างมาก ปัญหาเมืองใหญ่ก็มีเป็นเงาตามตัว หลังจากที่ผมได้ปล่อยบทความไปสักครู่ ไม่รู้หูผมแว่วๆได้รับคำตอบมาทันควัน อยากให้ต่างจังหวัดอุบลราชธานีบ้านผม เป็นเมืองหลวงของอาเซียน ผมไม่นึกไม่ฝัน จะได้รับคำตอบที่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้


   แต่ก็เหมาะสมดี สมกับทำเลทางภูมิศาสตร์ แถบอีสานตอนล่าง ขึ้นชื่อว่าเมืองอุบลราชธานี เป็นเมืองของนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เช่นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ชา สุภัทโท เคยมาเกิดที่นี่ เพียงหลวงปู่ชา แห่งวัดหนองป่าพง อริยสงฆ์รูปเดียว ในยุคประเทสไทยสมัยนี้ ถือว่าเป็นกองทัพธรรมยุคโลกาภิวัตน์ ได้เลยทีเดียว เพราะท่านนำพระสงฆ์ขยายกิ่งก้านสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างเป็นปึกแผ่น ประจวบเหมาะกับยุครัฐบาล คสช.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้นำกองทัพบก มีความคิดที่จะปฎิรูปศาสนา โดยเฉพาะเรื่อง ล่าสุด การออกกฎหมาย เก็บภาษีพระ  ตั้งแต่2หมื่นบาทขึ้นไปต้องเสียภาษี

 

  เรื่องทำเลภูมิศาสตร์ แถบบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี และ กลุ่มจังหวัด ในเขตอีสานตอนล่าง   เป็นที่ราบสูง  ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมเหมือนกรุงเทพฯอุบลฯเป็นดินแดนศักดิ์สิทธ์ ที่พระอริยเจ้ามาเกิดมากที่สุด เรื่องประสบภัยทางธรรมชาติไม่ค่อยมีเหมือนภาคอื่นๆ  ถ้าไปที่ภาคเหนือ ก็มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นแล้ว ที่เชียงราย   ถ้าไปที่ภาคใต้ก็มีภัยสึนามิ แผ่นดินไหวที่พังงา แถบภาคตะวันตกและกลาง มีความคุกรุ่น แผ่นดินไหว ที่อยู่บนรอยเลื่อนภูเขาไฟ ที่กาญจนบุรี  

     เพื่อนบ้านไทยถ้าหลังจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เนปาล แผ่นดินไหวล่าสุด เกิดขึ้นที่ลาว ตามที่ผมได้รับรายงานข่าวจากฟรีทีวีช่อง3เมื่อเช้าวันนี้ จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้  ผมมีความรู้สึก สัมผัสรับรู้ อะไรพิกล ซึ่งบางที่ไม่สามารถบอกเพื่อนๆชาวไทยได้  พักนี้ทำไมมีแต่ข่าวภัยธรรมชาติ เกิดขึ้นติดต่อกัน ซ้ำ เรื่อยๆในระยะห่างไม่นานมากนัก  ห่างกันไม่ถึงเดือน เอาอีกแล้ว 

   หรืออาจจะเป็นไปตามคำทำนายของโหร ชาวไทย ที่ออกมาทำนายประเทศไทย อาจจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมีอีก เช่น สึนามิรอบ2แผ่นดินไหวหนักๆแถบอ่าวไทย ทำให้เกิดน้ำทะเลหนุน พัดเข้าถล่มตึกอาคารสูงๆที่กรุงเทพฯพังพินาศ ก็น่าจะรับฟังโหรบ้าง บางทีอาจจะเกิดขึ้นได้  แถมจังหวะการโฆษณาหนังภาพยนตร์ ฮอลลีวู๊ด ที่เผยแพร่ทางฟรีทีวี เรื่องมหาภัยวิบัติโลก ผมอาจจะจำชื่อเรื่องหนังผิด ก็อภัย ที่มีฉากตึกสูงถล่มที่สหรัฐอเมริกา ถูกน้ำท่วม  แผ่นดินไหว ผู้คนวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต 

   นี่เฉพาะแผ่นดินไหว ขนาด 5.0ริกเตอร์ ที่ประเทศลาว ซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทยแท้ๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้  เพราะผมไม่เคยได้ยินข่าวมานมนาน ก็เกิดได้ ที่มีผู้บอกล่วงหน้าทางสื่อต่างๆ คือ ธรรมชาติกำลังเอาคืน กำลังลงโทษ ถ้าชาวโลกทำผิดกฎธรรมชาติอีกอยู่เรื่อยๆ กฎธรรมชาติคือ กฎของศาสนา ศีลธรรมอันดีนั่นเอง



   เมื่ออุบลราชธานีคือ เมืองหลวงอาเซียน จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง  เพราะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นเมืองศาสนา  เพราะชาวเมืองแถบนี้ คือ ผู้ใฝ่ศีลธรรมศาสนา ก็ย่อมทำให้ภูมิภาค มีความปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ อย่างอัตโนมัติ  เมื่อสร้างตึกรามบ้านช่องแล้ว ไม่ต้องกลัว ถูกถล่มด้วย ภัยพิบัติแผ่นดินไหว รุนแรง และน้ำท่วม  ซึ่งอุบลราชธานี ก็อยู่กลางๆของอาเซียนพอดี คือ ดินแดนติดต่อทางเหนือ ก็ลาวและเวียตนาม ทางตะวันตกติดเมียนมาร์ ทางใต้ติดมาเลย์ สิงค์โปร์ และประเทศอื่นๆตามลำดับ 

    เพราะฉะนั้นชาวไทยทุกคนต้องเตรียมตัว สู่อาเซียน เพราะเมื่ออุบลราชธานีเป็นเมืองหลวงอาเซียน  ชาวอาเซียนทั้งหลาย ก็จะคบค้าสมาคม พากันหลั่งไหล มายังอุบลราชธานี เมืองหลวงอาเซียน  ซึ่งอาจจะเป็นศูนย์กลางการค้าขายอาเซียนห่งใหม่ ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ หรือ ศูนย์กลางบริหารการจัดการของประเทศอาเซียนแห่งใหม่ รองจากกรุงเทพฯ  เพราะปัจจุบัน ที่กรุงเทพฯ  นับวัน แออัด มากขึ้น



   ประการแรก ที่สำคัญ เรื่องภาษา  เพราะถ้าพูดคุยด้วยภาษาไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะไม่ค่อยได้รับความสะดวก ภาษาที่ส่วนมากนิยมใช้คือ ภาษาอังกฤษ แต่เมื่อรวมเป็นอาเซียน อาจจะมีภาษาอาเซียนเกิดขึ้นใหม่ เพราะประเทศไทยมีภาษาไทย และพัฒนาภาษาขึ้นไปเป็นภาษาศาสนาใหม่ เพราะเป็นประเทศศาสนา  การค้าขายธุรกิจ อาจใช้ภาษาอังกฤษไปก่อน และค่อยๆใช้ภาษาศาสนาธรรมให้มากขึ้น อย่างเช่นไม่พูดภาษาหยาบ ตลบตะแลง คำเสียดสี ด่าทอ คำขู่คำอาฆาตต่างๆ  พูดภาษาแล้วฟังนุ่มนวล  รื่นหู คำจริง คำผูกสมานปรองดองสามัคคีกัน

  อันนี้ท่านพระเจ้า ท่านไม่ได้ห้าม ไม่ให้แสดงนะ  ใครไปบอกห้ามคนแสดง นั้นมีโทษมหันต์  เพราะศาสนาไม่มีใครเป็นเจ้าของหรือลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียว  ใครมีธรรมที่แสดง  ก็บอกกันได้ เขาจะรับฟังหรือ ไม่ฟัง หรือรับเชื่อ นั้นเป็นเรื่องของเขา

  
   เรื่องที่2 ก็คือเรื่องการศึกษา หาความรู้ ในสัมมาอาชีพของตนเอง ตามความถนัด ความชอบ พลเมืองชาวอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง ที่ต้องการให้เป็นเมืองพุทธเกษตร แหล่งเกษตรกรรม ก็ต้องเน้นเรื่องสัมมาอาชีพเกษตร เพื่อ เป็นสังคมผลิตอาหาร และป้อนสู่เมืองโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ต่อไป

เมื่ออุบลราชธานี คือเมืองหลวงอาเซียน การออกแบบสร้างเมือง ก็จะมีการวางแผนสร้างเมืองพัฒนาขึ้นในอนาคตต่อไปเรื่อยๆและวางแผนป้องกันปัญหาทีอนาคตอีกด้วย   เพราะเมื่อทุกชาติอาเซียน รวมกันที่นี่ เศรษฐกิจทุกอย่าง จะสู่ระบบเดียวกัน เหมือนอเมริกาที่ทุกคนเชื้อชาติศาสนา รวมกันที่นั่น พลเมืองประเทศจึงมีมากถึง300ล้านกว่าคน
 ส่วนอาเซียนกระทั่งเศรษฐกิจเดียวกัน ระบบแรงงานอันเดียวกัน ระบบภาษีก็เป็นศูนย์  ไปๆมาอาจจะรวมพลเมืองประเทศอาเซียนประเทศเดียวเหมือนอเมริกา800-900ล้านคนประชากร  รวมไปถึงอาจจะรวมศาสนาอาเซียน เป็นศาสนาเดียวในที่สุด

เอาหละพูดไว้เพียง 2อย่างก่อน  ถ้ามีโอกาสหน้า จะเขียนเรื่องอุบลราชธานีเมืองอาเซียนต่อไป  สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อยากเห็นรัฐบาล คือดั่งเช่น มัจจุราชแมวจับหนู


 

ยี่สิบสองพฤษภา2557ปฎิทินไทย    ของขวัญจากใจฉันเคยให้เธอ

ลืมผมแล้วหรือ คนซื่อหน้าเซ่อ       คนที่ตัวเธอบอกแสนเมตตา

โชคดีมีชัยขอให้ไกล่เกลี่ย             ทุกวินาทีเธอปริศนา

คู่ใหม่ของเธอมีหน้ามีตา              หนึ่งปีผ่านมาแสนทรมาน

 

หนึ่งปีผ่านไป สำหรับการทำรัฐประหาร ของ คสช. มีหลายฝ่ายออกมา

ตรวจประเมินผลงานรัฐบาล บางฝ่ายให้ผ่าน บางฝ่ายไม่ให้ผ่าน สุดแล้วแต่อยู่ฝ่ายไหน และใช้หลักเกณฑ์อะไรประเมิน  แต่ทีเห็นก็คือโพลสำรวจดุสิต หนึ่งหละที่สำรวจผลออกมา เป็นข่าวในรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์24พฤษภาคม2558ที่ผ่านมา

  คสช.โดยการนำของพลเอกประยุทธ์   จันทร์โอชา ถือว่าเป็น รัฐบาลปฎิวัติรัฐประหารด้วยความจำเป็น เพื่อยุติความความรุนแรงทางการประท้วงการเมือง ของพวกเสื้อเหลือง และ พวกเสื้อแดง

 

การประเมินผลงาน คสช. ที่ผมให้ผ่าน คือ เรื่องจัดการในด้านดูแลความสงบเรียบร้อย ทางการเมืองทั้ง2ฝ่ายยุติลง


   ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นเป็นภารกิจเพิ่มเติม เช่น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเมื่อมีการปฎิวัติ มักมีการร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว รอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ การปฎิรูปประเทศไทย ทุกๆด้าน  ผ่านทางด้าน สปช. ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญและโดดเด่นมาก


  ยุคปฎิรูป ประเทศไทย ครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าทีเคยมีมา แต่ดูไปดูมาทำท่า หลายเรื่องไม่พบความคืบหน้ามากนัก ทำท่าเหมือนจะปฎิวัติครั้งนี้ เป็นการปฎิวัติเสียของแล้วกะมัง

  โดยเฉพาะการปฎิรูประบบข้าราชการ และการปฎิรูปตำรวจ ในกระบวนยุติธรรม  ส่วนเรื่องประเด็นหลังนี้ ผมทราบข่าวทางเพื่อสื่อมวลชนทางหนังสือพิมพ์และบล็อกโซเซียล ทอล์ก และ ทีวี ท่านนายกฯโบ๊ย การปฎิรูปตำรวจ ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดหน้า เพราะถ้าระบบยุติธรรมดี มีตำรวจดี ประเทศไทยดีขึ้นกว่าครึ่ง

   เพราะเท่าๆที่รู้กันอยู่ ตำรวจไทย มีสภาวะอย่างไร ระบบยุติธรรมต้องเที่ยงธรรมศักดิ์สิทธิ์  และกฎหมายก็ทันสมัยเข้มแข็งศักดิ์สิทธิ์ตามไปด้วย ภาพตำรวจไทยยังติดลบอยู่เรื่อยๆ ประเดี๋ยว มีข่าวอุ้มฆ่า รีดค่าไถ่ พัวพัน ยาเสพติด และบ่อนการพนัน กระทั่งมีเอี๋ยวพัวพันการค้ามนุษย์ คือยังไม่เป็นที่ไว้วางใจของสังคมประชาชนมากนัก 

   กระทั่งผมคิดเลยเถิด ให้มีตำรวจเอกชน จะดีมั้ย หรือตำรวจอิมพอร์ตจากต่างประเทศ หรือ บางทีมีตำรวจโรโบค้อบ เหมือนในหนังภาพยนตร์ ตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาตามกฎหมาย จับผู้ทำผิดกฎหมายได้หมด โดยไม่ไว้หน้า ตรงกับคอนเซ็ป แมวจับหนู จับหนูให้ได้  ไม่ว่าหนูจะมีสีอะไรก็ตาม  ที่ผมให้ไว้ในบทความก่อนๆ

ผมปรบมือชื่นชมและศรัทธา คสช.ที่ปราบ ข้าราชการฉ้อฉล ทุจริตคอรับชั่น ในวงการข้าราชการ ที่สวมบทบาทมัจจุราชแมวจับหนู ข้าราชการ   ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง  เข้าตากรรมการประชาชนมาก ผมปรบมือ และชูจักะแร้ให้ รัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง..

   อืม...   ผมชื่นชม แต่ยังไม่ดีเท่าที่ควรทางการจัดการ   เพราะ รัฐบาลไม่ใช่จับหนู แต่เป็นเพียงย้ายหนูไป รูอื่นรังอื่น เพียงพักงานหนูไม่ไปสร้างความสกปรก รกรุงรัง โสโครก  ที่สถานที่ต่างๆอีก  ทางที่ถูกต้อง น่าจะปลดหนูออก หรือขังหนูไว้  จับได้แต่หนูบริวาร หรือ สมุนลูกน้องหนู  หนูตัวใหญ่ๆรัฐบาลแมวอย่ากลัว จับหนูไปเลย

 

   เอาหละ ถึงอย่างไรก็ตาม คสช.ก็ได้ปฎิวัติรับประหารแล้ว คืนความสุขให้คนในชาติ1ปีที่ผ่านมา ผมยังทุกข์แสนทรมานเหมือนเดิม ผู้บำบัดทุกข์บำรุงสุข ไม่มาหาชาวบ้านประชาชน จะสุขได้อย่างไร เห็นใบหน้าบางครั้งผมยิ้ม แต่ซ่อนความทุกข์ไว้ไม่ให้ใครเห็น ทั้งเจ้าวิญญาณกบ ก็มาทวงเข่า ผมดันทะลึ่งไปฆ่ากบปรุงอาหาร เมื่อตอนเด็กๆเพราะความไม่รู้ นี่เอาอีกแล้ว วิญญาณกิ้งก่า ที่ผมไปมัดคอ ฆ่ามันตาย ทำให้ผมเจ็บปวดคอมากๆๆซ้ำเติมกระหน่ำผมอีก ทั้งถูกคนด่าคนตีผม ไปนานๆเหรอ โอ้ย..ผม จะทนไม่ไหวแล้ว นี่เข้าไปเกือบปีที่20แล้ว

  

    สุดท้ายนี้ ให้ชาวไทยเป็นฝ่ายเดียวกัน  หยุดสร้างความแตกแยก ทำร้าย ทำลาย ประเทศของตนเอง ถ้าอ่านบทความผม ถ้าจะขำ ก็ขำได้ ถ้าว่าเจ็บ ก็เชิญเจ็บได้ ตามสบาย  เพราะผมไปห้ามไม่ได้ เพราะอารมณ์แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ถ้าอ่านแล้วเกิดความไม่สบายใจ ให้รีบหยุดอ่าน  สวัสดี.......

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจพอเพียง VS เศรษฐกิจทุนนิยม














เจอกันในวันโกน วันอาทิตย์ที่24พฤษภาคม2558 คือ วันก่อนถึงวันพระหนึ่งวัน สำหรับชาวพุทธศาสนิกชน ชาวไทย พรุ่งนี้ก็คือวันพระ ที่ชาวพุทธบางท่านตระเตรียม ชำระร่างกายชำระจิต ให้ขาวสะอาดไม่มีบาป ด้วยทาน ศีล ภาวนา ตั้งใจปฎิบัติศีล ให้บริสุทธิ์ในวันพระ ที่วัด และเตรียมซื้อข้าวปลาอาหาร ผลหมากรากไม้ใส่ปินโตไปที่วัด บางท่านสวมใส่เสื้อชุดขาว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของผู้มีศาสนา ตั้งใจจะปฎิบัติศีล5หรือศีล8ให้ครบทุกข้อ สมกับชาวไทยมีพระพุทธศาสนามายอย่างนมนาน

 วันนี้ผมจะเขียนเรื่องเศรษฐกิจสักกะหน่อย เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ที่คือเรื่องการอยู่ดีรับประทานอาหารดี    เรื่องปากเรื่องกระเพาะอาหาร ของชาวไทยทุกคน 

   เรื่องการเมืองรัฐบาล คสช.เข้ามาบริหารงาน จากที่ผมทราบข่าวจากโพลสวนดุสิต เมื่อก่อนเที่ยงวันนี้ จากรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ของคุณสรยุทธ์  สุทัศนะจินดาซึ่งก็ทุกๆรัฐบาล ที่มาบริหารประเทศ มักมีโพลสำรวจ  ประเมินผลงานทางเศรษฐกิจอยู่เรื่อยๆ  โพลจากสำนัก สวนดุสิตโพล ระบุ  เศรษฐกิจ รัฐบาลอยู่ในระดับปกติ และคาดว่าเศรษฐกิจโตขึ้นอีก  ทีมงานเศรษฐกิจ ของรัฐบาล คือ ทีมงามของหม่อมอุ๋ย หรือ มล.ปรีดียาธร  เทวกุล ซึ่ง คสช.และท่านนายกฯพล อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา เรียกเข้ามาทำงานในสถานการณ์การเมืองฉุกเฉิน หลังเข้ายึดอำนาจรัฐประหาร จากรัฐบาลนารีขีม้าขาว คุณยิ่งลักษณ์  ชินวัตร

 

   ถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น ใช้เศรษฐกิจพอเพียงมานานหลายทศวรรษ เพราะเป็นเศรษฐกิจของ นายหลวง รัชกาลปัจจุบัน ทรงใช้ มาโดยตลอดนานเกือบ25ปี  จะมีเพียงรัฐบาลของพตท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร ที่ใช้เศรษฐกิจทุนนิยม อย่างกว้างขวางทั่วไป  เน้นการหาเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆพร้อมกับใช้หนี้ของประเทศที่กู้หนี้ยืมสิน จากกองทุนระหว่างประเทศ หรือ IMF ในยุคนั้นหลังจากประเทศไทยแทบล่มสลาย เศรษฐกิจเกือบพังในสมัย รัฐบาลพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ เมื่อปี2540 และต่อเนื่องมารัฐบาลสามสมัย ตั้งแต่ รัฐบาลคุณสมัคร คุณสมชาย และ คุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นรัฐบาลของฝ่าย พตท.ดร.ทักษิณ ทั้งสิ้น ก็คือเศรษฐกินทุนนิยม นี่แหละ

 

  ต้องยอมรับความเป็นจริง เศรษฐกิจทุนนิยม นี่คือ ทำอะไรก็ได้ให้ได้เงิน มากๆขึ้นกระทั่งร่ำรวย ทางธูรกิจ  เจ้าพ่อทางเศรษฐกิจทุนนิยม คือ สหรัฐอเมริกา จึงจะพบว่า มีเศรษฐีร่ำรวยติดระดับโลกส่วนมากตามข้อมูล ของนิตยสารฟอร์จูน มักเป็นชาวสหรัฐอเมริกา   และประเทศที่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจทุนนิยม มีเกือบครึ่งข่อนโลก แม้แถบเอเชีย เรา เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โปร์ ล้วนคือ ประเทศเศรษฐกิจทุนนิยม  ซึ่งใช้เศรษฐกิจทุนนิยม จากอเมริกา เพราะต่างส่งคนของประเทศตนเอง ไปร่ำไปเรียน วิชาโลกธุรกิจเศรษฐกิจ จากสหรัฐอเมริกา ทั้งสิ้น  กลับมาทำธุรกิจเศรษฐกิจ ของตนเอง 


   ตามหัวข้อที่ผม ตั้งชื่อเรื่อง เศรษบกิจพอเพียงvsเศรษบกิจทุนนิยม นี้ ท่านผู้อ่านหรือไม่อ่านก็ดี อาจจะตกอก ต้กกะใจ ดูรุนแรง น่าหวาดเสียว เลือดสาด ปานดัง นักมวยคู่เอก  ที่ผมเปิดดู UFC ที่ถ่ายทอดสดจากสหรับอเมริกา   ที่บ้านเพื่อนบ้าน  ช้าวันนี้ มีทั้งเตะทั้งต่อยทั้งปล้ำ ตีศอก มวยคู่ต่อสู้กลางกบาล กระทั่งเลือดอาบ เปื้อนผืนผ้าใบ.....

    แรกๆผมนึกว่ามวยไทย อ้าวพอดูอีกที เหมือนมวยไทยมาก แต่ มันไม่ใช่ มันรวมการต่อสู้กันไว้ทั้งหมด  ผมแทบทำหน้าเยเก ปิดตาผมไว้แทบไม่ทัน เพราะผมดูแล้วเศร้า เพราะอาจจะมีคนตายกลางเวทีมวย  ถ้ามีคนตายด้วยเหตุนี้ มีบาปนะครับ

     พลเมืองประเทศต้องสร้างบุญขึ้นมากๆ  อย่าต่อสู้กันมีเมตตาเอื้อเฟื้อช่วยกัน ถ้ามีอาหารก็แบ่งอาหารกัน ถ้ามีเงินก็แบ่งกันประเทศจะได้   ไม่มีภัยบาปกรรม แก้ปัญหาต่างๆโดยไม่ใช้อารมณ์หรือความรุนแรง ทุกวิธีเข้าแก้ไข  เพราะต่อสู้กันรุนแรงหนักขนาดนี้ ทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ทำเพื่อเศรษฐกิจทุนนิยม เพราะได้ข่าวทางโฆษกมวย บอก ค่าตัวนักมวยอยู่ที่ระดับล้าน  เพราะเศรษฐกิจทุนนิยม ธุรกิจทำอะไรก็ได้เพื่อได้เงินมา จะเป็นบาป จะเป็นบุญ ไม่รู้ ผิดศีลผิดธรรมศาสนา ไม่สน  เพียงแต่ได้เงินรวยขึ้นมา  ผมจึงอยากให้เศรษฐกิจทุนนิยม ทบทวน นิดๆบ้างก็ดี .....

 

แม้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เห็นชอบ โดยมีพื้นที่เป้าหมายระยะที่ 1 และ 2 ใน 10 จังหวัดชายแดน และมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 13 สาขาสำหรับระยะที่ 1 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ และเซรามิกส์  

     ซึ่งก็แน่นอน ว่า รัฐบาลชุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคง ยั่งยืน  ตามที่ได้ให้ข่าวไว้ทางสื่อฟรีทีวี  ซึ่งอาจจะไม่รวยเท่าเศรษฐกิจทุนนิยม  แต่ก็มีความมั่งคั่งระดับหนึ่ง แต่มั่นคงต่อเนื่องในเบื้องปลาย  ในหมู่กลุ่มเศรษฐีนักธุรกิจ  บริษัท ชาวไทย  

   ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คือทำธุรกิจอย่างมีเหตุมีผล พอประมาณ อยู่กับเงื่อนไขของความรู้ศีลธรรม คุณธรรม  อันนี้แหละสำคัญ สิ่งที่จะให้ธุรกิจเศรษฐกิจมีบาปหรือมีบุญอยู่ตรงนี้  เศรษฐกิจที่ดีต้องอิงกับศาสนา อย่างเศรษฐกิจบุญนิยม ของท่านพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ตามที่ผมไปศึกษาแล้ว เป็นเศรษฐกิจไม่มีบาปเลย มีแต่บุญ ไม่มีการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ เพราะทานอาหารบุญ เช่นผัก เต้าฮู้ ผลไม้ มังสวิรัติ ไม่คดโกง มีแต่ให้  เศรษฐกิจแบบนี้แหละ คือ เศรษฐกิจที่ถูกต้อง เป็นมิตรกับสังคม และสิ่งแวดล้อม 

    แก้ปัญหาแบบ  เอื้ออาทรกับปัญหาสังคมทุกรูปแบบ  ทั้งปัญหาโจรขโมย ก็ต้องเข้าใจเขา ปัญหาแรงงานว่างงานตกงานไม่มีรายได้ ถูกสังคมทุนนิยมเอาแต่เงินเป็นตัวตั้ง ไปบีบรัดกดดัน คนมากเกินไป คิดไม่ออก หาทางไปไม่เจอ สังคมเกิดความเครียด เ ลยจบลงโดยการฆ่าตัวตาย     สังคมชาวไทยและนานานชาติ  จึงต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกัน



  เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน ปี2558นี้ ควรต้องดำเนินเศรษฐกิจแบบนี้

ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ อาหาร ทางการเกษตร มีชาวนาชาวสวนทั่วประเทศ ควรเร่งสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจผลิตอาหาร เพราะเขตจังหวัดภาคอีสานหลายจังหวัดต้องการเป็นเมืองพุทธเกษตร  อาชีพเกษตรอิงกับพุทธศาสนานั่นเอง

 

 

 

ข้อมูลคอลัมนิสต์ ของดร.เสาวรัจ   รัตนคำฟู               กรุงเทพธุรกิจ

 

ผมเห็นด้วย รัฐบาลควรเร่งสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจ ชายแดน ถ้าไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ก็ ให้ทันที่รัฐบาลชุดต่อๆไป โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจอีสานตอนล่าง อย่าลืมบ้านผม จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยก็แล้วกัน  เพราะถ้าไปสร้างแต่เศรษฐกิจ มั่งคั่ง ที่กรุงเทพ  ผู้คนก็จะหลั่งไหลไปแต่กรุงเทพฯ ทั้งปัญหาสารพัดสาระเพก็จะไปรวมกันที่นั่น ถ้าจะกระจายเศรษฐกิจ ก็ต้องกระจายไปยังเขตเศรษฐกิจ ต่างจังหวัดด้วย และสนับสนุนเป็นพิเศษ  มากๆขึ้นเรื่อยๆ



    ทำกรุงเทพฯให้จิ๋วลง แต่ไปสร้างโครงการเศรษฐกิจใหม่ ยังเขตต่างจังหวัดเช่น โครงการ ขุดคอขอดกระ  รัฐบาลต้องไปคุยกับเพื่อนบ้านด้วยเพราะเป็นอาเซียนด้วยกัน   เป็นเรื่องที่สร้างความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจภาคใต้ เพิ่มขึ้น คนจะได้ไม่ไปแออัดยัดเยียด  ที่กรุงเทพฯ

 

กิจการที่อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างมากทั้งจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และหน่วยงานอื่นๆ โดยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ในกรณีที่เป็นกิจการเป้าหมาย ได้แก่

(1) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และนับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ ยังได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 5 ปี

(2) ได้รับอนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้าและค่าประปา 2 เท่าเป็นเวลา 10 ปี
(3) ได้รับอนุญาตให้หักเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกร้อยละ 25 ของเงินลงทุน
(4) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร
 (5) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นสำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา 5 ปี
(6) ได้รับอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ และในกรณีที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ กิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกระทรวงการคลังในการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 10 ปี

  นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแล้ว กิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการกู้ดอกเบี้ยต่ำรายละไม่เกิน1-20 ล้านบาท การใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือซึ่งเดินทางเข้ามาทำงานแบบไปเช้า-เย็นกลับหรืออยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน ความสะดวกที่จะได้รับจากศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุนซึ่งจะพิจารณาอนุมัติภายใน 40 วันทำการ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข และการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งจะพิจารณาอนุมัติภายใน 1 วันทำการ และการดำเนินกิจการในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ซึ่งภาครัฐมีโครงการลงทุนในวงเงิน 10,000 ล้านบาทในปี 2558-2559 สำหรับ SEZ ระยะที่ 1

 

    ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า การใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นเครื่องมือในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนนั้น ตนเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีหลายอย่างที่ควรปรับปรุง โดยจะเห็นได้ว่า รัฐบาลพยายามส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการให้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่คำถามคือ การมีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะทำให้ประเทศไทยสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้จริงหรือ เนื่องจาก เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษไม่ได้ถูกออกแบบอย่างมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่า จะช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้หนุนเสริมกันได้อย่างไร โดยประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านควรหารือเพื่อพัฒนาร่วมกัน

 

 นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ ระบุว่า สิทธิประโยชน์สูงสุดของภาครัฐที่ให้แก่กิจการเป้าหมายซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และการอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศที่ต้องการหลุดพันจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยเน้นการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่มีแรงจูงใจในการปรับตัวไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษถูกออกแบบมาเพื่อให้แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาแรงงานต่างด้าวได้ ตราบใดที่นโยบายแรงงานต่างด้าวในระดับชาติยังไม่มีความชัดเจนและไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

 

ในข้อเท็จจริง การใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นน่าจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ถึงอย่างไร ประเทศไทยจะมีค่าแรงที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและการส่งออกจากประเทศไทยจะไม่ได้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไปยังตลาดหลัก การศึกษาของทีดีอาร์ไอเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตเครื่องนุ่งห่มในประเทศไทย ลาวและกัมพูชา พบว่า ต้นทุนการผลิตในไทยสูงกว่าลาวและกัมพูชาถึงร้อยละ 15 เนื่องจาก ต้นทุนค่าแรงในไทยสูงกว่า และไทยไม่ได้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) จากประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ดังนั้น จะมีเพียงผู้ประกอบการที่ผลิตเพื่อขายในประเทศที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ

 

หากประเทศไทยต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แทนที่จะใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลควรแปลงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เป็น เขตนวัตกรรมพิเศษ” (Special Innovation Zone: SIZ) โดยเน้นอุตสาหกรรมที่อยู่บนฐานความรู้ (knowledge-based sector) เช่น ซอฟต์แวร์ การออกแบบ การวิจัยและพัฒนา โดยต้องเน้นแรงงานมีทักษะสูงต่างชาติ เช่น โปรแกรมเมอร์ หรือนักวิชาชีพต่างชาติทำงานในไทยได้โดยง่าย แทนการใช้แรงงานทักษะต่ำจากต่างประเทศ เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ซึ่งรัฐบาลควรดำเนินการต่อไปคือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาจังหวัดชายแดนในฐานะเป็นประตู (gateway) สู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถนน และการปรับปรุงด่านชายแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถรองรับการขนส่งสินค้าผ่านแดนจำนวนมากได้ โดยแยกกันชัดเจนระหว่างด่านตรวจคนเข้าเมือง และด่านตรวจสินค้า และการสร้างศูนย์บริการเบ็ดเสร็จเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ตลอดจน

   เสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมบริการทางการค้าชายแดนที่สำคัญ ด้วยการจัดตั้งศูนย์โลจิสติกส์กระจายสินค้าเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูง และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อนำมาแปรรูปเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีสินค้าเป็นศูนย์ของประเทศเพื่อนบ้านภายในปี 2561 จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

 

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางนโยบาย ดังนั้น ลำพังการมีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจึงไม่สามารถทดแทนการมีนโยบายอุตสาหกรรมและนโยบายแรงงานที่ดีเพื่อทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นได้ การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจะไม่ประสบความสำเร็จในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่ได้ออกแบบโดยมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ที่สำคัญ

  ตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เนื่องจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยติดอยู่กับการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การส่งเสริมให้ย้ายการผลิตที่ใช้แรงงานมากไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่า และยกระดับการผลิตในไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยการสร้างเขตนวัตกรรมพิเศษ (SIZ) ที่เน้นการเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

 

 

 

 

 

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รัฐธรรมนูญแมวจับหนู


                     รัฐธรรมนูญแมวจับหนู


เจอกันสายๆวันเสาร์ที่23พฤษภาคม2558ครับ เมื่อวานผมเปลี่ยนภาพborderใหม่ที่บล็อกบุดด้าดูดเดิ้ลใหม่ เป็นภาพธงชาติไทย หยุดทำร้ายประเทศไทย อยากเห็นคนไทยรักกันอย่างเดิม ไม่มีพวกมึงไม่มีพวกกู ขอให้มีแต่ พวกเรา


     ซึ่งผมค้นหาภาพมาจาก เว็บไซด์กูเกิ้ล ผมไม่ได้คิดและออกแบบภาพเอง แต่ก็เหมาะสมมาก เข้ากับบรรยากาศ ที่คนไทยบางคนกำลังแตกแยกกัน จากความรักความสามัคคี เพราะคำว่า พวกมึงและพวกกู นี่แหละ หรือ พวกกูเสื้อเหลือง พวกมึงเสื้อแดงทำให้ ดูไม่เหมือนคือคนไทยด้วยกัน  อันนี้กูและมึงผมไม่ได้ใช้คำหยาบนะครับ เป็นภาษาสมัยพ่อขุนรามคำแหง แต่สมัยปัจจุบันไม่ค่อยมีใครพูด

     เมื่อพอดูแตกต่างกันระหว่างกูและมึง ไม่เหมือนกัน แล้วหาเรื่องทะเลาะเบียดเบียนกันทุกที แต่ไม่รู้คนไทยโกรธกันทำไม ความโกรธเกิดขึ้นได้อย่างไรทั้งๆที่เป็นคนไทยคือชาวพุทธด้วยกัน  พระพุทธเจ้าพ่อสอนไม่ให้ทำบาป ระหว่างกัน ไม่ให้โกรธ ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง ไม่ให้ติดกัน  ไม่ให้หวาดระแวง ให้ดูอารมณ์ของตนไปเรื่อยๆ

 

    ถ้าผมจะวิเคราะห์  เรื่องเกิดขึ้นจาก ทะเลาะกัน

เรื่องภาษา ใช้ภาษา บางทีใช้ภาษาต่ำเกินไป ทำให้ดูเป็นคำหยาบ พูดเขียนอะไรออกมา กลายเป็นคำด่าคำว่าไปหมด  ถ้าอย่างนั้น จะแก้ปัญหาเรื่องภาษา เรา สร้างภาษาใหม่ขึ้นใหม่ดีมั้ย  ให้ไปช่วยผมคิด ก็ชาวไทยทุกคนนั่นแหละ เพราะบางทีใช้คำต่ำ กับ ท่านบางคน ถือกับโกรธ

     ผมเองมีใครมาด่าว่าผมแรงๆ ขนาดมีคนด่าผมว่าเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน  ว่าผมเปรียบเป็นอ้ายสัตว์ชนิดหนึ่ง ผมก็ไม่เคยโกรธ ด่าผมว่าไอ้เxxยไอ้เหว ผมก็ไม่เคยว่า เพราะอยู่บ้าน แม่กับน้องสาวเห็นผมทำขวางหูขวางตาท่าน ก็ด่าผมแทบทุกวัน

     นอกจากนั้นคนไทยไม่รักกันไม่ปรองดอง เหมือนเดิม มีจากหลายสาเหตุ ที่สำคัญ คือ การมีอัตตา ถือในร่างกายของตนเอง  ถ้าคนไทยไม่มีอัตตา ไม่ถือไม่ติดนั่นติดนี่ ช่วยกันมีเมตตา แม้ผู้ที่ทำให้เราโกรธหรือ ศัตรูที่ทำให้เราแค้น  หลักๆก็คือมีธรรมะในศาสนานั่นเอง 


    พอพูดถึงสัตว์แมลงแมงดา เขา ว่าเปรียบกับผู้ชายหากินกับหญิงโสเภณี  วันนี้ก็เลยอยากเขียนถึงเรื่องหนูกับแมว  อันเป็นที่มาของเรื่อง รัฐธรรมนูญแมวจับหนู ตามที่ผมเขียนเรื่องเล่ามัจจุราช ที่บล็อกนี้ ให้ไปทำความรู้ความเข้าใจ เพราะมันเชื่อมโยงกับศาสนา และเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ของชาวโลก



    ถ้ายังจำไม่ได้ ผมจะทบทวนอีกซักเล็กน้อย ท่านพญามัจจุราชหรือยมบาลนั่น มองไม่เห็น ท่านเป็นเทวดา ทำหน้าที่ที่โลกนรกคล้ายผู้พิพากษาคดีที่ศาลบนโลก คนชาวโลกที่ตายไปแล้ว  ถ้าเปรียบท่านมัจจุราช ก็เหมือนแมว ที่คอยจับหนูไปลงโทษ  ซึ่งผมได้คิดออกแบบภาพโล้โก้ แมว เป็นสัญลักษณ์MajjuRAT555 ซึ่งบางที่อาจจะสับสนไม่เข้าใจความหมายก็จะอธิบายภายหลัง......



     ถ้าได้ยินเรื่องแมวจับหนู ถ้าท่านเป็นนักอ่านหนังสือ คำนี้มาจาก ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง อดีตผู้นำคอมมิวนิสต์จีน ท่านกล่าวว่า.....

ถ้าเป็นแมว ไม่ว่าจะคือแมวสีอะไร ขอให้จับหนูให้ได้ก็แล้วกัน  ถ้าเขียนตรงนี้ คือ พวกตำรวจคือแมวจับหนู คือผู้ทำผิดกฎหมายชาติบ้านเมือง จับได้แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีประธานาธิบดีถ้าทำผิดกฎหมาย ไม่มีใครหนีพ้นถ้าทำผิด กฎหมายแล้วบางครั้งทำผิดกฎพระเจ้าธรรมชาติอีก........

     แต่ถ้าตำรวจไปอยู่กับนายกฯจะกล้าจับนายกฯจับผู้ว่าฯมั้ยให้ลองไปคิดดู ผมจึงอยากให้ถ้าจะปฎิรูป การปฎิรูปตำรวจเป็นเรื่องสำคัญมาก ในกระบวนการยุติธรรม ถ้าปฎิรูปสำเร็จในยุค คสช.นี้ก็จะดีเยี่ยม ...........

     รัฐธรรมนูญที่อ้างว่า เขียนให้ ประชาชนเป็นใหญ่ ก็ให้ประชาชนมีอำนาจ ร่วมตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรม และเรื่องกฎระเบียบวินัยชาวพุทธทางพุทธศาสนา เท่ากับคือ ศาสนาแมว คนไม่มีศาสนา คือ คนหนู  คนนรก


     จะให้ผมไปเขียน รธน.เอง งานของผมก็มีอยู่เยอะแล้ว แถมไม่ค่อยได้ตังค์ ถ้าได้ตังค์จะไปเขียนให้ ให้ไปเชิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสนา ทั้งพระทั้งโยมฆราวาส ที่มีความรู้จริงแตกฉานในธรรมวินัย ไปช่วยกันเขียน ให้เป็นรัฐธรรมนูญชาวพุทธเท่าที่ทราบข่าวกำลังตัดศีลธรรมวินัยพระ227ข้อเหลือ150ข้อตรงกับความเป็นจริงของศาสนาก็ให้ถกกันให้จบ  และก็ประกาศเป็นกฎหมายให้รู้ในหมู่ชาวพุทธทั่วไปและส่งเสริมเรื่องเป็นรัฐธรรมนูญรับประทานได้ ส่งเสริมคนมีอาชีพทำอาหารทางเกษตรมากๆคือสัมมาอาชีวะ หนึ่งในหลักอริยมรรค8



     ส่วนเรื่องว่า ผู้มีศาสนาอื่นๆเช่นคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ฮินดูที่มีส่วนน้อยในไทย นั้น จะไม่ยอมนั้นไม่ต้องห่วงนะ  ถ้าเห็นว่าธรรมในศาสนาพุทธ ทำได้ทำจริงทำถึง มีส่วนสร้างสังคมไทยสงบนั้น ย่อมได้รับการสนับสนุนแน่นอน ถึงแม้ชาวพุทธอาจจะจน ไม่รวยเหมือนชาวคริสต์พวกฝรั่งอเมริกา แต่สุขด้วยความพอเพียงเป็นความสุขแท้ๆไม่ติดกับเงินตรา จบ...

 

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สังคมไทยมวลรวมกำลังจะแย่ อย่ามัวเแต่ยักแย่ยักยัน ให้ฟันฉับๆไปเลย........


ผมกำลังฟังการถ่ายทอดสดเสียง คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สัญจร มาที่จังหวัดอุบลราชธานี ทาง สวท.FM98.5MHz. ที่หอประชุมไพรพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฎ เมื่อเช้าวันนี้21พฤษภาคม2558 หัวใจของการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ คือ “ ให้ประชาชนเป็นใหญ่ คือ มีดุลยภาพกับฝ่ายการเมือง ป้องกันทุจริตคอรับชั่น  มีสังคมที่น่าอยู่ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม 

  ซึ่งเมื่อร่างเช่นนี้แล้ว แต่ในทางปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญ จะเป็นมรรคเป็นผลแค่ไหน ก็ คอยติดตามดูอย่างไม่กระพริบตา ซึ่งผมเขียนบทความแนวทางการปฎิรูปประเทศไทย รวมทั้งแนวทางผมต่อการร่าง รัฐธรรมนูญ ในเว็บไซด์เฟสบุ๊ค หรือ บล็อกส่วนตัวผม   ให้ไปร่างให้ผมด้วย  เช่นจังหวัดอำนาจเจริญ หนึ่งในกลุ่มจังหวัดคลัสเตอร์ อีสานตอนล่าง ประชาชนต้องการเป็นเมืองพุทธเกษตร  จังหวัดอุบลฯของผมก็เช่นเดียวกัน ต้องการให้เป็นเมืองพุทธเกษตร และก็ควรจะเป็นทุกๆจังหวัดในกลุ่มจังหวัดอีสานล่างด้วย ซึ่งแนวทางผมให้ไปเพิ่มเติมกำหนดในรัฐธรรมนูญด้วย ถ้าทำได้     ในวันนี้ พูดถึง ปัญหาครอบครัว ปัญหาครอบครัวความแตกแยก ความไม่เข้าใจกันเยาวชนทั้งหลายหันไปพึ่งสุรา ยาเสพติด หันหน้าไปปรึกษาปัญหาต่างๆกับเพื่อนซึ่งกลายเป็นปัญหาสังคมในที่สุด

 





สังคมในปัจจุบันนี้ที่ทุกอย่างกลายเป็นความเคยชิน ความชั่วกลายเป็นความดี ความเลวกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนออกมาชื่นชม ความผิดกลายเป็นการปกป้องตนเองและครอบครัว จนทำให้เงินซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขอพระองค์โปรดชี้ทางนำด้วยเถิด

 

 

          ในศาสนาสังคมไทย กฎหมายนั้นได้มีกฎข้อห้ามต่างๆแต่คนส่วนมากนั้นไม่ประพฤติปฏิบัติและไม่เห็นว่าสิ่งที่ห้ามปรามนั้นมันคือความผิดบาปที่น่ากลัว ทุกเรื่องที่เป็นความเลวและชั่วร้าย พวกเขาปฏิบัติกันจนเป็นความเคยชิน ที่ดูเหมือนไม่มีความผิด จนกลายเป็นสิ่งที่ใครไม่ทำหรือใครที่ประพฤติดีกลับกลายเป็นความผิดปกติของบุคคลคนนั้น

 

 

และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธละเมิดกฎหมายนั้น ดังผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่งที่มันฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากเสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น พวกเขาคือคนหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจ  

 

 ไม่ฆ่าสัตว์แล้วพวกเราจะกินอะไร เพราะเราฆ่าสัตว์เพื่อเอาไปทำบุญ  แต่พวกคนกินผักกินเจมัสวิรัติ ก็มีเกือบครึ่งค่อนประเทศ ทำไมทำได้

 

ไม่ลักทรัพย์คือไม่ขโมย แต่ขโมยทั้งหลายเอาเงินที่ขโมยได้ไปทำบุญ

 

          ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามมีชู้ ห้ามมีภรรยาหลายคน ห้ามข่มขืนกระทำชำเรา แต่เปิดอาบอบนวดกันอย่างถูกกฎหมาย เปิดขายเหล้า เบียร์ เปิดโชว์ลามกอนาจาร ผู้หญิงขายตัวตามถนน โรงแรมม่านรูดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ร้านสะดวกซื้อขายถุงยางอนามัยกันอย่างเสรี

 

          ห้ามผู้ชายมีภรรยาหลายคนแต่มีเล็กมีน้อยข้างนอกโดยที่ภรรยาไม่รู้ได้ โดยไม่ผิดกฎหมายและไม่ต้องรับผิดชอบเธอเหล่านั้น คดีฆ่าข่มขืนหรือรุมโทรมผู้หญิง และผู้ที่โดนกระทำก็เป็นเด็กผู้หญิง จนเพื่อนเราบางคนบอกว่าไม่อยู่หรอกสวรรค์ คนน้อยเดี๋ยวเหงา ไปอยู่ในนรกดีกว่าคนเยอะเพื่อนแยะสนุกกว่าถ้าพวกเขารู้ถึงความทรมานในนรกที่พระองค์พระเจ้าทรงเตรียมไว้คงไม่มีคำพูดแบบนี้อย่างแน่นอน

 

 

ผู้ใดปรารถนาชีวิตชั่วคราว (ในโลกนี้) เราก็จะเร่งให้เขาได้รับมัน ตามที่เราประสงค์แก่ผู้ที่เราปรารถนา แล้วเราได้เตรียมนรกไว้สำหรับเขา เขาจะเข้าไปอย่างถูกเหยียดหยามและถูกขับไส 

 

 

          ห้ามพูดปด ห้ามพูดเท็จ ห้ามโกหก ห้ามพูดจาส่อเสียด ห้ามนินทาว่าร้าย ลูกโกหกพ่อแม่เพื่อออกไปเที่ยวกับเพื่อน เพื่อนโกหกเพื่อน พี่น้องโกหกกันเอง การนินทาว่าร้ายกันตามหนังสือพิมพ์ดาราหรือ แม้แต่วงสังคมที่เรียกตนเองว่าอยู่ใน สังคมชั้นสูงแต่การกระทำที่แสดงออกมานั้นมันคือความตกต่ำของสังคม

 

          ห้ามดื่มสุรา ห้ามเสพของมึนเมาหรือยาเสพติด ห้ามเล่นการพนัน ความจริงที่ปรากฏคือรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนในกิจการยาสูบ โรงเหล้า เบียร์เป็นของผู้บริหารและเศรษฐีระดับประเทศที่สนับสนุนรัฐบาล ภาษีส่วนใหญ่ที่ได้มาจากการซื้อขายภายในและการนำเข้าของผลิตภัณฑ์สุรา ยาสูบต่างประเทศ  เงินที่นำมารณรงค์ให้คนไม่สูบบุหรี่มาจากภาษีที่เก็บได้จากบุหรี่  ร้านอาหาร ผับบาร์เปิดขายเหล้ากันอย่างเสรี และคนส่วนมากที่ตายกันช่วงเทศกาลต่างๆ มาจากพิษของสุรา การเมาแล้วขับจนทำลายสถิติการตายเป็นเรื่องธรรมดา รู้ทั้งรู้ว่ามีคนต้องตายอีกมากมายแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จริงๆ แล้วการเกิดอุบัติเหตุเป็นเรื่องใหญ่ และสามารถป้องกันได้แต่ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแก้ไขได้เลย

          ยาเสพติดสารต้องห้ามขายกันเกลื่อนทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ในแหล่งชุมชนต่างๆและประชาชนหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ รู้กันอยู่ว่าใครเป็นผู้ที่ทำสิ่งที่ทำลายประเทศชาติ ใครเป็นคนขายแต่ไม่เคยที่จะจับหัวหน้าได้ ได้แต่ลูกสมุนที่ตายแทนลูกพี่และแพะทั้งหลายก็รับบาปไปตามระเบียบ ยาเสพติดกลับกลายเป็นสิ่งที่วัยรุ่นนำมาใช้เพื่อโอ้อวดความสามารถ นี่คือความโง่เขลาที่พวกเขาทั้งหลายไม่เคยคิด ไม่เคยใช้สติปัญญาในการศึกษา

 

 

และหลังจากนั้นหัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง มันประดุจหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า และแท้จริงจากบรรดาหินนั้น มีส่วนที่บรรดาธารน้ำพวยพุ่งออกจากมัน และแท้จริงจากบรรดาหินนั้นมีส่วนที่แตกแยกออก แล้วมีน้ำออกจากมัน และแท้จริงจากบรรดาหินนั้น มีส่วนที่ทลายลง เนื่องจากความเกรงกลัวพระเจ้า นั้นจะไม่ทรงเผลอต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

 



          ครอบครัวที่อบอุ่นในสังคมไทยหายไปไหนกันหมด ความสุขคือการอยู่บ้านพร้อมหน้าในครอบครัว ทานอาหารร่วมกันในบ้านที่มีความอบอุ่น  ความสุขมิใช่การเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือการเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่างๆนอกบ้าน มิใช่การกินอาหารราคาแพงๆ นั่นมิใช่ความสุขและความอบอุ่นที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงคือความสุขสงบทาง

ความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบันและทางออกในทัศนะของผม

 

(ปล.สิ่งที่ผม  เขียนขึ้นต่อไปนี้เป็นเพียง ทัศนะของผมซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งหมดเพราะมิได้อิงตามทฤษฎีใดๆมากนัก หาก ผิดพลาดบกพร่องประการใด   ผมอโหสิกรรมไว้ล่วงหน้าและโปรดหยุดอ่านเมื่อรู้สึกไม่สบายใจ)

 

โศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าในการพัฒนาประเทศของทุกชาติบนโลกกลมๆใบนี้ หากพินิจพิจารณาดีๆจะพบว่า ล้วนแล้วแต่บ่มเพาะมาจากอำนาจของกิเลสในจิตใจของมนุษย์ และถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบว่าผู้จุดชนวนแห่งโศกนาฏกรรมนั้นมิใช่ประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ แต่หากชัดเจนที่สุดว่า มักจะเริ่มวี่แววของความโศกจากชนชั้นสูงที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นศักดินา

 

 แม้โลกจะวิวัฒน์พัฒนาจนค่าของนาไม่สำคัญเท่าค่าของเงินแล้วก็ตาม แต่นัยยะโดยกว้างของศักดินาก็ยังคงครอบงำความคิด การกระทำ และคำพูดของชนชั้นศักดินาผู้มั่งมีให้เข้าใจว่าตนนี้แลคือผู้ยิ่งใหญ่ในบรรณพิภพนี้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย  พฤติการณ์เช่นนี้ปรากฏได้ทั่วไปในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทย และเกี่ยวโยงกันอย่างยิ่งกับความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบัน

 

 นับตั้งแต่การเมืองไทยถูกสถาปนาขึ้น นักการเมืองนั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนของชนชั้น

 

ศักดินาที่ควบคุมอำนาจของประเทศเอาไว้ด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์ศฤงคาร ไพร่พลพวกพ้องของตน หากนักการเมืองนั้นเป็นคนดีก็นับว่าเป็นชะตาดีของประเทศ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามมากจนทำให้คิดว่าประเทศไทยช่างดวงแข็ง เพราะถ้าเป็นประเทศอื่นอาจ ชะตาขาดไปนานแล้ว  มันเป็นเช่นนี้มานมนานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันราวกับนักการเมืองรุ่นพี่ปูแนวทางไว้ให้กับรุ่นน้องในการทำมาหากินบนหลังคนด้วยกัน

 

 ปัญหาของการเมืองไทยในปัจจุบันนั้นมีจุดเริ่มมาจากกิเลสของนักการเมืองเพียงไม่กี่คนที่หนาและหนักเกินกว่ามนุดมนาสามัญชนทั่วไป จนทำให้เกิดการคอรัปชั่น โกงกิน และบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ที่ยากเกินการยอมรับของประชาชนไทยบางกลุ่ม ในช่วงรัฐบาลชุด นายทักษิณ ชินวัตร ผลที่ตามมาก็คือการออกมาแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศเพื่อขับไล่นายทักษิณออกจากตำแหน่ง ซึ่งแย้งกับประชาชนอีกกลุ่มที่ยังเชื่อในความสามารถของนายทักษิณ    ที่แม้อาจจะเป็นผู้นำไม่ดีบางอย่าง   แต่ก็นับเป็นนักการเมืองผู้มีความสามารถคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 

 ความขัดแย้งดูเหมือนจะจบสิ้นลงด้วยการยึดอำนาจทางการเมืองด้วยคณะรัฐประหาร เมื่อ

19 ก.ย.2549 ที่ปราศจากความรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทย แต่ด้วยการผิดพลาดในการดำเนินการเคลียร์ปัญหาบ้านเมืองแบบไม่จบของรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์ ทำให้รัฐบาลตัวแทนของนายทักษิณกลับมารับตำแหน่งต่อถึงสองสมัย นั่นคือ รัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลชุดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

 

 สิ่งที่ตามมา คือ ประชาชนทั้งสองกลุ่มต้องออกมาแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองคนละขั้วเช่นเดิม และต้นเหตุในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะมาจากการทำงานอย่างครึ่งๆกลางๆของรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์

 

ความขัดแย้งดูเหมือนจะจบสิ้นอีกครั้งคำเมื่อคำพิพากษาของตุลาการตัดสินให้นายทักษิณมีความผิดจริง และนักการเมืองที่กระทำความผิดหลายคนต้องถูกสั่งห้ามลงเล่นการเมือง แต่...

 

นักการเมืองที่ดีน้อย ก็เปรียบได้กับเด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจ จะเอาอะไรก็ต้องได้สมใจปรารถนา เมื่อไม่ได้ก็โวยวาย กราดเกรี้ยว คิดค้นหากลวิธีเพื่อให้ได้ดัง ใจฉันและวิธีดังกล่าวนี้ก็ไม่มีวิธีใดเลยจะประจานบิดามารดาของตัวเองได้ดี และเรียกร้องให้ชาวบ้านหันมาเห็นใจได้ดีเท่ากับการปลุกปั่นกระแสโดยใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือ

 

ดูเหมือนนักการเมืองที่นั้นจะรู้ว่าคนที่หันมาสนใจเค้านั้นอาจไม่ใช่เฉพาะเพียงคนรัก หากรวมถึงคนที่เกลียดชังตน ซึ่งนั่นน่าจะดีกว่าการถูกลืม จึงสรรหาสิ่งที่จะมาเป็นประเด็นให้ประชาชนสนใจและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้ามาแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญของตน

 

สิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาหลักที่ถูกหยิบยกในขณะนี้ การแก้รัฐธรรมนูญ

 

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักอันสูงสุดของประเทศ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้นมีการฉีกและเขียนรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีฉบับใดที่ลงตัวเลยสักครั้ง โดยเฉพาะฉบับปัจจุบันซึ่งเป็นประเด็นร้อน

 

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550” อาจเรียกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ เข้มกับนักการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย แม้จะมีการลงประชามติยอมรับจากประชาชนก็ตาม แต่ที่มาที่ย่อมไม่สวยเท่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างโดยตรง  ซึ่งแท้จริงแล้วรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอาจไม่มีข้อบกพร่องเลยก็เป็นได้ หากไม่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของนักการเมืองใหญ่น้อยในประเทศแห่งนี้ผู้มีนิสัยนิยมความเป็นใหญ่และจมไม่ลงอย่างเหลือหลาย


แต่จไปกีดก ประชชาชน ที่ไม่จบปริญญาตรี ซึ่งยังมีอยู่อีกมากหลายไม่ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ อย่างผม จบแค่ปวส.  ก็ถือว่า ยังไม่ใช่รัฐธรรมนูญ ของประชชาชน ทั้งประเทศ ผมก็จะกเป็นนายกฯให้เพื่อนประชาชนไม่ได้  ถ้าไปเขียน    กฎหมาย รธน.แบบนั้น ต้องเขียนใหม่ นายกรัฐมนตรี มาจากไหนก็ได้ แม้จบ ป.4 ก็มีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้

 

สิ่งที่เกิดตามมา คือ การแตกแยกกันเป็นฝักฝ่ายของประชาชนตามความเห็นที่ต่างกันไปตามขั้วการเมือง ทำให้ประเทศอ่อนแอ ขาดความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศ ซึ่งอาจเรียกได้ว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

 

แต่ที่น่าสังเกต คือ แนวคิดของประชาชนในยุคสมัยนี้ดูเหมือนจะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ผิดกับแนวคิดประนีประนอมต่อนักการเมืองของคนไทยในอดีตนั่นคือ

 

ไม่มีนักการเมืองที่ไหนไม่โกงกินหรอก แต่ยังไงก็ขอให้พ่อกินน้อยๆหน่อยก็แล้วกัน แล้วบริหารประเทศให้ฉันได้มีอยู่มีกินบ้างนะพ่อ

 

ซึ่งฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลากับคำปรารภของนักร้องราชาลูกทุ่ง สายัณห์  สัญญา ที่มักพูดโหมโรง ก่อนการแสดง ดนตรี คอนเสริต์ที่ว่า รักน้อยๆแต่รักนานๆนะที่รักอย่างไรชอบกล

 

นี่อาจเป็นจุดที่น่าดีใจบ้างในความขัดแย้งดังกล่าวซึ่งหาได้ยากเต็มที

 

หากจะหาทางออกให้กับความขัดแย้งดังกล่าว ข้าพเจ้ามีทัศนะว่ายังไม่ควรรีบร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ควรเผยแพร่เป้าหมายอันแท้จริงแห่งการแก้และไม่แก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนได้รับรู้อย่างทั่วถึงเสียก่อน เพราะจากสภาพการณ์ในปัจจุบันนั้น มีประชาชนเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รับรู้สาเหตุดังกล่าว ประชาชนอีกจำนวนมากอยู่ในสภาพไหลตามน้ำตัดสินใจเพียงตามความรักชอบในตัวของผู้จุดประเด็นความคิดอย่างขาดข้อมูล  และซ้ำร้ายยิ่งไปกว่า คือ ประชาชนอีกเป็นจำนวนมากเริ่มรู้สึกรำคาญปัญหาที่คาราคาซังจนถึงกับเริ่มดำริว่าอะไรๆก็เอามาเหอะ...

 

ประชาชนกลุ่มหลังนี่นับว่าเป็นกลุ่มผู้มีความคิดที่น่ากลัว เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่าประชาธิปไตยของไทยยังด้อยการพัฒนาและดูท่าจะพัฒนาต่อไปลำบาก

 

วิธีการที่ดีในการจุดประเด็นดังกล่าวให้เป็นที่สนใจของประชาชนเห็นทีจะหนีไม่พ้นปล่อยให้สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนที่มีชื่อว่าเป็นสื่อสารธารณะ สื่อของกองทัพ หรือสื่อของรัฐบาลก็ตาม ซึ่งอันที่จริงพวกเขาควรมีอิสระหน้าที่ในการเป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่ความจริงสู่ประชาชนตามจรรยาบรรณอยู่แล้ว โดยรูปแบบการนำเสนออาจเป็นการจัดอภิปรายถึงเป้าหมายอย่างเป็นทางการ เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่สามารถรับรู้ในเชิงลึกและมีความสนใจเป็นทุนเดิม โดยเชิญผู้ดำริจะแก้และไม่แก้โดยตรงมานั่งอภิปรายกันเลย   ถกกันเห็นๆ  หรือถ้าท่านผู้นั้นไม่พร้อมที่จะมานั่งถกเพราะเป็นนักโทษกำลังหนีคดีอยู่อาจใช้วิธีการ”Phone in”ก็น่าจะทำได้ เพราะก็เห็นท่านทำอยู่ปาวๆอยู่แล้วโดยที่ผู้พิทักษ์ความเรียบร้อยของบ้านเมืองไม่สามารถทำอะไรได้ หัวหน้าฝ่ายเสื้อสีอะไร จะฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็จับมานั่งรวมกันให้หมด แล้วว่ากันด้วยเหตุผลเท่าที่แต่ละคนมี แต่สำคัญ คือ ไม่เอาพวกลูกน้องรับคำสั่งนายมาอีกทีมานั่งอ่านกระดาษเหมือนขันทีอ่านพระราชบัญชาของฮ่องเต้เหมือนในภาพยนตร์จีนเพราะให้ความรู้สึกไม่อาจหาญแกล้วกล้า ไหนๆโต้โผใหญ่ของแต่ละฝ่ายกล้าตัดสินใจแล้วก็จำเป็นต้องกล้าพูดด้วย 

 

แต่ในขณะเดียวกันก็ควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่เคยมีความสนใจเลย หรือเยาวชนผู้ยังไม่คุ้นชินกับเนื้อหาการอภิปรายหนักๆ ด้วยการประยุกต์เนื้อหาแล้วจัดรายการเป็นแนวสาระบันเทิง เช่น ละครสั้น เกมส์โชว์ เพื่อง่ายต่อการเข้าถึงด้วย   รูปแบบรายการเช่นนี้ยังไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์สื่อมวลชนไทย อาจถึงเวลาแล้วที่รายการบันเทิงอย่างมีสาระจริงๆจะเกิดซักทีหลังจากที่มีแต่ในนามมานมนาน เนื้อหาดีอย่างเดียวไม่เพียงพอแต่จำเป็นต้องมีศิลปะด้วยในการสื่อสาร เพราะในปัจจุบันนั้นปฏิเสธได้ยากเหลือเกินว่าคนไทยสนใจละครน้ำเน่ามากกว่าข่าวสารบ้านเมืองเพียงเพราะสนุกกว่า

 

และโปรดเชิญนักแสดงชื่อดังในฐานะประชาชนคนหนึ่งมาทำหน้าที่พลเมืองดีอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศสักครั้งด้วยเถิด เพราะอาจคัดความมีคุณภาพที่ดีของพวกเขาได้มากกว่าการมอบรางวัลที่หาข้อพิสูจน์ได้ยากเต็มทีว่าจริงเท็จแค่ไหนก็เป็นได้

 

อย่าปล่อยให้ สื่อเต็มไปด้วย สิ่งไร้สาระมากเกินพอดีนัก  อย่าลืมว่าสื่อเป็นตัวสะท้อนถึงนิสัยและความสนใจของคนทั้งประเทศ และหากทำรายการดังกล่าวจริง ขอได้โปรดอย่างี่เง่านำไปไว้หลังสี่ทุ่มเป็นอันขาด เพราะประชาชนไทยไม่ได้เป็นคนกลางคืนกันทั้งประเทศ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากสื่อดังกล่าวมีประสิทธิภาพพอ ทั้งหลากหลายและต่อเนื่อง ประชาชนคงตัดสินใจได้ และเมื่อนั้นความหมายที่แท้จริงของคำว่า ความเป็นกลางคงปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม

 

 

ความเป็นกลางดังกล่าวนั้น ควรหมายถึง การว่ากันไปตามถูกผิดมิได้หมายถึง การประนีประนอมเอาถูกและผิดมาบวกกันจากนั้นจึงหารสองแต่ประการใด

 

ความเป็นกลางนั้นถูกทำให้บิดเบือนในความเข้าใจประชาชนตามความหมายอย่างหลังโดยนักการเมืองและพวกพ้องเป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดปัญหาตามมา  ซึ่งหากจะให้ความหมายของความเป็นกลางว่าเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอเสนอให้เลือกที่จะไม่เป็นกลางและเข้าข้างความถูกต้องเสียมากกว่า เพราะแม้ฝ่ายนั้นอาจไม่ใช่ฝ่ายที่ดีที่สุดในจักรวาลแต่ก็ ดีที่สุดแล้วที่มีให้เลือก ณ เวลาหนึ่ง 

 

ยกตัวอย่างเรื่องความเป็นกลางง่ายๆจากกระบวนการยุติธรรมของศาล ซึ่งผู้พิพากษานั้นต้องฟังความของทั้งโจทย์และจำเลย จากนั้นจึงพิจารณาถึงหลักฐาน ข้อมูล ตลอดจนความเป็นไปทั้งหมด แล้วตัดสินให้ผู้ที่เป็นฝ่ายถูกชนะ มิใช่เอาความคิดของทั้งสองข้างมารวมกันแล้วหาข้อยุติที่ตรงกลางอย่างที่มีนักการเมืองหลายคนชอบบิดเบือนว่า คือ ความเป็นกลางแต่อย่างใด

 

ข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ภาพเด็กน้อยแย่งขนมกันแล้วผู้ใหญ่ต้องเข้ามาแบ่งครึ่งเพื่อให้เท่ากันแล้วจบๆไป นักการเมืองไทยผู้มีสติปัญญาไต่เต้าขึ้นมาเป็นคนปกครองประเทศที่ต้องการวิธีดังกล่าวมีศักยภาพเพียงเท่านั้นดอกหรือ? เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสากระทำการดังกล่าวอาจยังพอมองเห็นความน่าเอ็นดูอยู่บ้าง หากแต่ในกรณีนี้ข้าพเจ้าเพียงกังวลว่านักการเมืองไทยบางคนจะไม่ยอมจบแม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราแล้วก็ตาม ด้วยนิสัยที่เคยชินกับความเป็นใหญ่ของความเป็นโคตรเหง้าของศักดินา ซึ่งคงดูน่าสมเพชกว่าเด็กน้อยด้วยความที่เดียงสาแล้วแต่ไม่รู้จักคิด

 

เมื่อเกิดปัญหาคงไม่มีกลุ่มชนใครเพ่งแก้ที่กฎเป็นอันดับแรก แต่คงแก้ที่พฤติกรรมของผู้กระทำผิดจึงน่าจะตรงจุดมากกว่า   การแก้ปัญหาที่ดีนั้น อันดับแรกต้องว่ากันไปตามกฎหมายเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่า คือ ต้องคำนึงถึงศีลธรรมจรรยาที่มนุษย์พึงมีและเป็น เพราะนั่นเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงมิใช่เพียงในนาม

 

 

 

 

การเป็นกลุ่มผู้ปกครองประเทศคงไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีเพียงความสามารถเท่านั้น เพราะนั่นอาจทำให้โลกเบี้ยว คุณธรรมในตัวคุณต่างหากที่จะทำให้โลกกลมและสมดุล

 

  สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากให้คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำลังมาอภิปราย ที่อุบลฯวันนี้ หรือคุณสุชัย  เจริญมุขยนันท์ ผู้สื่อข่าวเพื่อเฟสบู๊คนำไปแก้ไข ให้เป็นไปตามเสียงของประชาชน เสียงความเป็นธรรม อย่างแท้จริงเถิด  สวัสดี..